แฟรงก์ แลมพาร์ด ในฐานะกุนซือ

แฟรงก์ แลมพาร์ด ในฐานะกุนซือ ก่อนที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะได้ก้าวมาคุมทีมเชลซี นั้น เค้าได้ชิมลางการคุมทีมระดับสโมสร ครั้งแรกกับดาร์บี้ เค้าท์ตี้ ไปก่อน 1 ฤดูกาล พร้อมเกือบสร้างความสำเร็จในการนำทีม “แกะเขาเหล็ก”
เลื่อนชั้นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีกได้ ด้วยผลงานที่โดดเด่นของ แฟรงค์ แลมพาร์ด ประกอบกับการลาออกของเมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ทำให้ตำแหน่งนายใหญ่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ว่างลง

โดยที่ เชลซี ไม่สามารถหากุนซือระดับบิ๊กเนม มาคุมทีมได้ เพราะ เชลซี นั้นติดโทษแบน จากฟีฟ่า ไม่สามารถลงทะเบียนนักเตะได้ยาวถึง 2 ตลาดการซื้อขาย สิ่งนี้ทำให้ไม่มีกุนซือคนไหนที่จะลงเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของเชลซีเลย
และในขณะที่เชลซี กำลังถูกปัญหาถาโถมชนิดมืดแปดด้าน ตัว แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็เป็นเหมือนกับแสงเทียน เพราะตัวเค้าตัดสินใจที่จะเข้ามารับหน้าที่กุนซือใหญ่ของทีม
ด้วยฟอร์มการออกสตาร์ต ที่จะเรียกว่าเปิดตัวได้ไม่สวยนัก เพราะ แพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-0, และแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ด้วยผลการยิงจุดโทษ 4-5 แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ แฟนบอลส่วนใหญ่ไม่มีใครโทษ แฟรงค์ แลมพาร์ด เลย
จากการคุมทีม 2 นัดของเค้า เพราะ รูปแบบการเล่นของ เชลซี เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเล่นในแดนกลาง ที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด เลือกจะใช้ กองกลาง 3 คน ในการขับเคลื่อนทั้งเกมรุกและเกมรับ โดยมิดฟิลด์ ทั้ง 3 ตัวจะเล่นบอลชิ่งกันไปมาด้วยความเร็วสูงเพื่อแก้ เพรสซิ่ง ที่ถือเป็นจุดอ่อนของเชลซีในฤดูกาลที่แล้ว
และตัวแฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ยังมีงานหนักที่รออยู่ จากในรูปแบบการเล่นที่สังเกตุได้ชัดในนัดที่เสมอกับเลสเตอร์ ซิตี้ คาบ้าน 1-1 ก็คือฟอร์มการเล่นที่ดูดี แต่ไม่สามารถจบสกอร์ได้อย่างจะแจ้ง รวมไปถึงเกมรับที่เสียง่ายจนเกินไป
ทำให้การแก้ระบบเกมรับทั้งการปรับจูนการเล่นของ เช็นเตอร์ และ ฟูล แบ็ค ที่ยังไม่เข้ากันดี โดยเฉพาะ เช็นเตอร์ อย่าง ซูมา ที่มีความผิดพลาดให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ส่วนเกมรุก โดยเฉพาะหน้าเป้าตัวความหวังที่ยังจบสกอร์ได้อย่างไม่เฉียบคม
